Cartier’s Heavenly Arrival at Siam Paragon คาร์เทียร์กับการเดินทางสู่สวรรค์ ณ สยามพารากอน
- Chayapa Chutrakul
- Aug 11
- 3 min read
In the heart of Bangkok’s most prestigious shopping destination, Siam Paragon, Cartier unveils its new duplex flagship boutique—a 758-square-meter sanctuary where art, heritage, and craftsmanship intertwine. Under the poetic concept of “Heavenly Cartier”, the Maison invites guests on a journey from “Heaven on Earth” to “Cloud 9,” blending French savoir-faire with the elegance of Thai artistry in an experience that is both immersive and transcendent.
ใจกลางสยามพารากอน จุดหมายปลายทางระดับไอคอนของกรุงเทพฯ คาร์เทียร์เผยโฉมบูติคแฟลกชิปสองชั้นขนาด 758 ตารางเมตร—สถานที่ซึ่งศิลปะ มรดก และงานฝีมือชั้นสูงถักทอเข้าด้วยกันอย่างวิจิตร ภายใต้แนวคิด “Heavenly Cartier” แขกผู้มาเยือนจะได้ออกเดินทางจาก “สวรรค์บนผืนดิน” สู่ “สวรรค์ชั้นเก้า” ที่หลอมรวม savoir-faire แบบฝรั่งเศสกับความงดงามของงานศิลป์ไทยร่วมสมัยในประสบการณ์ที่ทั้งงดงามและเหนือจินตนาการ
A Celestial Ground Floor – Heaven on Earth สวรรค์บนผืนดิน – พื้นที่ชั้นล่าง
Stepping through the grand entrance, visitors are immediately enveloped in a world where iconic Cartier creations—LOVE, Panthère de Cartier, Clash de Cartier—shine against an atmosphere of elegance and light. Above, a raindrop chandelier falls like gentle monsoon rain, mirrored by a carpet whose design echoes each drop’s rhythm—a nod to water as a symbol of abundance and clarity.
เพียงก้าวแรกเข้าสู่บูติค ความประทับใจเริ่มต้นทันทีเมื่อได้พบกับคอลเลกชันไอคอนิคของคาร์เทียร์—LOVE, Panthère de Cartier และ Clash de Cartier—ที่เปล่งประกายท่ามกลางบรรยากาศที่งดงามและเปี่ยมแสงสว่าง เหนือศีรษะคือโคมไฟระย้าทรงหยดน้ำที่ร่วงหล่นราวสายฝน พรมด้านล่างถ่ายทอดจังหวะหยดฝนอย่างกลมกลืน เป็นสัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์และความกระจ่างใส
The architectural poetry continues with stained-glass masterpieces by O Thai, hand-tinted in the vivid Tutti Frutti palette of ruby, emerald, and sapphire. Framed by metalwork in the noble Pudtarn flower motif, these details speak to Cartier’s mastery of stone-setting, reimagined through a Thai lens.
สองฟากผนังระหว่างงานบาเรลีฟ (bas-reliefs) ของพระบรมมหาราชวัง โดดเด่นด้วยงานกระจกสีโดย O Thai ในโทนทับทิม มรกต และแซฟไฟร์ ซึ่งได้แรงบันดาลใจจากเครื่องประดับตำนาน Tutti Frutti ของเมซง กรอบโลหะลวดลายดอกพุดตานสื่อถึงศิลปะการฝังอัญมณีในแบบคาร์เทียร์ผ่านมุมมองแบบไทยอย่างละเมียดละไม
The Welcome Lounge is alive with the energy of Bangkok nights, interpreted through straw marquetry by Muse Design, crafted from locally sourced corn husks and straw. Its layered textures shimmer like constellations over the city, representing Cartier’s commitment to natural beauty and Thai craftsmanship in contemporary form.
ห้องต้อนรับ สะท้อนพลังชีวิตชีวาของกรุงเทพฯ ยามค่ำคืน ผ่านงาน straw marquetry โดย Muse Design ซึ่งใช้ฟางข้าวโพดและฟางข้าวจากท้องถิ่น ถ่ายทอดแสงไฟระยิบระยับเหมือนหมู่ดาว แสดงถึงความมุ่งมั่นของคาร์เทียร์ในการนำความงามจากธรรมชาติและงานฝีมือไทยมาสร้างสรรค์ในมุมมองร่วมสมัย
In the Women’s Accessories space, tropical murals and handwoven panels by Korakot Aromdee (Oh)—dyed with mango, jackfruit, and holy basil—evoke a garden of delights. Opposite, a golden rice arch frames a whimsical display of unisex timepieces—Santos de Cartier, Baignoire, Tank—amid playful gibbons and lush foliage.
ใน โซนแอคเซสเซอรี่สุภาพสตรี ภาพจิตรกรรมพรรณไม้เมืองร้อนและฉากกั้นถักมือโดย กรกช อารมย์ดี (โอ๋) ซึ่งใช้เส้นใยธรรมชาติย้อมสีจากเปลือกมะม่วง ขนุน และโหระพา ถ่ายทอดความงามราวสวนสวรรค์ ตรงข้ามคือซุ้มรวงข้าวสีทองที่นำไปสู่ห้องจัดแสดงเรือนเวลายูนิเซ็กซ์—Santos de Cartier, Baignoire และ Tank—ในฉากของชะนีน้อยขี้เล่น ผลไม้พื้นถิ่น และพรรณไม้เขียวชอุ่ม ชวนให้รู้สึกราวกับกำลังเดินทางผ่านป่าในเทพนิยาย
Ascending to the Upper Realm – Cloud 9 สวรรค์ชั้นเก้า – พื้นที่ชั้นบน
A spiraling staircase, inspired by drifting clouds, leads to the Diamond area—a luminous showcase crowned by a sculptural centerpiece from Ease Studio and Siam Celadon.
Drawing from a 1946 Cartier powder box, it features a celadon-style crown embroidered with golden floral motifs. Along the corridor, embroidered Wrightia flowers by Anucha Songserm (Mek)—crafted with gold beads, silk, and threads—symbolize purity and celestial welcome, their intricacy rivaling Cartier’s own high jewelry.
บันไดวนอันสง่างามเปรียบดั่งก้อนเมฆที่ลอยสู่ฟากฟ้า นำทางสู่โซนเพชรอันเจิดจรัส ที่กลางห้องตั้งผลงานประติมากรรมจาก Ease Studio และ Siam Celadon ตีความตลับแป้งคาร์เทียร์ปี 1946 เป็นมงกุฎศิลาดลปักลวดลายดอกไม้ด้วยเส้นด้ายทอง
ตลอดแนวโถงตกแต่งด้วยผลงานปักมือของ อนุชา ส่งเสริม (เมฆ) ศิลปินรุ่นใหม่ที่ผสานเทคนิคปักโอต์กูตูร์ฝรั่งเศสกับลวดลายโขนไทย ใช้ลูกปัดทอง เส้นไหม และดิ้นทองรังสรรค์ภาพดอกโมก อันเป็นสัญลักษณ์แห่งความบริสุทธิ์และความรุ่งเรือง
The VIP Salon is a study in refined intimacy. Here, Manop Wongnoi, National Artist, applies Thailand’s revered lacquer and eggshell technique to create a starlit surface that took over four months to perfect. Gold, silver, and organic textures merge in timeless harmony, making this space a true sanctuary of desire
ห้องรับรองวีไอพี คือสุดยอดแห่งความหรูหราและความเป็นส่วนตัว โดดเด่นด้วยผลงานลงรักปิดทองผสมเปลือกไข่โดย อาจารย์มานพ วงศ์น้อย ครูศิลป์แห่งแผ่นดิน ซึ่งใช้เวลากว่าสี่เดือนสร้างสรรค์พื้นผิวที่ระยิบระยับราวแสงดาวบนท้องฟ้า
A Living Gallery of Heritage and Innovation แกลเลอรี่มีชีวิตแห่งมรดกและนวัตกรรม
Every corner of the boutique is an homage to Thai architecture and decorative arts—mosaic, marquetry, embroidery, lacquerware—revived through Cartier’s modern lens. To mark the occasion, seven animated window displays debut, including a Paris-designed series for global flagships and a Thai-inspired creation that celebrates cross-cultural design.
ทุกองค์ประกอบของบูติคแห่งนี้คืองานสรรเสริญสถาปัตยกรรมและศิลปะหัตถกรรมไทย ทั้งงานประดับกระจก งานต่อไม้ งานปัก และงานลงรักปิดทอง—ถ่ายทอดมรดกผ่านมุมมองร่วมสมัยอย่างงดงาม
Adding to the exclusivity, the boutique hosts the Cartier Libre Tuttitutti collection—unexpected volumes, vibrant colors, and bold contrasts—available only from August 1 to September 19, 2025, in select global cities.
เพื่อเฉลิมฉลอง คาร์เทียร์ยังนำเสนอวินโดว์ดิสเพลย์แบบแอนิเมชันเจ็ดชิ้น รวมถึงผลงานพิเศษแรงบันดาลใจจากสถาปัตยกรรมไทย และจัดแสดง Cartier Libre Tuttitutti คอลเลกชันลิมิเต็ดที่มีจำหน่ายเฉพาะ ณ บูติคแฟลกชิปสยามพารากอน ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม ถึง 19 กันยายน 2568 เท่านั้น
With its new flagship, Cartier has not merely opened a boutique; it has created a celestial journey where the boundaries between art, imagination, and culture dissolve—inviting every guest to step into the Maison’s vision of heaven.
การเปิดตัวครั้งนี้ไม่ใช่เพียงการเพิ่มอีกหนึ่งสาขา แต่คือการสร้าง “การเดินทางสู่สวรรค์” ที่ศิลปะ จินตนาการ และวัฒนธรรม หลอมรวมเป็นหนึ่งอย่างไร้กาลเวลา
Comments